มาต่อตอนที่ห้ากันครับ
ตอนที่ห้า เส้นทางสู่วังเวียงผมเองเคยมาที่ลาวหลายครั้งครับ และ ทุกครั้งก็เดินทางมาทางบกเนี่ยล่ะครับ
ไม่เคยมาทางอากาศกับเค้าเลย เพราะว่า ส่วนใหญ่ ก็มาเที่ยวดังนั้น จุดแวะอย่างหนองคายนี่จะทำให้ไม่จำเป็นต้องบินมาลงที่ลาว
ว่ากันว่าค่าเครื่องบิน ระหว่างบินไปอุดร กับ บินไปลงที่เวียงจันทน์ ก็ แพงต่างกันเยอะด้วยครับ ดังนั้นคนไทยส่วนใหญ่เลยนิยมที่จะบินไปลงอุดรก่อนแล้ว ก็ต่อด้วยรถมายังเวียงจันทน์อย่างที่เราทำกัน
ล่าสุดที่ผมเข้ามา ผมเอามอเตอร์ไซต์มาครับ ขับเส้นทางเดียวกันนี้แหล่ะ ข้ามสะพานมิตรภาพไทย ลาว (๑) ผ่านวังเวียน แล้วเลยไปยังหลวงพระบางเลย

หลายท่านคงทราบดีอยู่แล้วนะครับว่า สะพานมิตรภาพ ไทย ลาว มีสามแห่งนะครับ
๑ หนองคาย เวียงจันทน์
๒ มุกดาหาร สะหวันนะเขต
๓ นครพนม คำม่วน
ผมเอง เคยข้ามแต่ สะพาน ๑ มีโอกาสจะไปข้ามให้ครบครับ
เวัยงจันทน์นี่ ผมเพิ่งมาเมื่อตอนปีใหม่นี่เอง ครั้งนี้เลยแปลกใจที่พี่ๆ นำทางมาทางซ้าย แทนที่จะเป็นทางขวา อย่างที่เคย ....
"...ให้ลืมเรื่องเก่าๆ แล้วเปิดรับสิ่งใหม่ซะบ้าง... " เสียงพี่ที่ดังในวอ ยังก้องอยู่ในหัว จริงเนอะ ถ้าเรา ติดอยู่กับเรื่องเก่า แล้วเมื่อไหร่ จะมีความรู้ใหม่ๆ กับเค้าล่ะเนอะ
เส้นทางที่ทาง ผู้นำรถเบอร์ ศูนย์ ศูนย์ นำมาเป็นเส้นทางเลี่ยงเมือง ที่ผมเพิ่งเคยมาครับ
วิ่งออกจากด่านมา ก็เลี้ยวซ้าย แทน เลี้ยวขวา สักพัก ก็จะมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าเลี่ยงเมือง ...เสียดายไม่ได้เอา จีพีเอส มาเลยไม่รู้ว่า มีถนนเส้นนี้ ในเครื่องหรือยัง
มาเส้นเลี่่ยงเมือง รถแทบไม่มีครับ แล้วก็ไม่ใช่เลนสวนกันด้วย วิ่งสบายๆ อยู่พักใหญ่ ก็ มาบรรจบกับถนนหลัก
หลังจากนั้นก็เข้าสู่บรรยากาศของจริงของ ลาวล่ะครับ ...ธรรมชาติดิบๆ อย่างที่คนเมืองอย่างเราจะไม่คุ้นตา
สวิฟส์เครื่อง ๑.๒ นี่วิ่งใช้ได้นะครับ ไม่อืดอย่างที่ผมคิดตอนแรก ทั้งๆ ที่ แบบน้ำหนักผู้โดยสาย คิงไซส์ อย่างผมกับพี่เจี๊ยบ แล้วก็ ไซส์กลาง อย่างประธานไม้ กับ พี่บ๊วย ได้
แต่ช่วงล่างนี่ซิ ผมว่ามันนิ่มไปหน่อย พอเจอ น้ำหนัก สี่คนนี่ มีอาการให้เห็นเหมือนกัน ตอนข้ามเนิน มีเสียงโดนครูดให้เห็น
ผมมองหน้าพี่เจี๊ยบ เหมือนหาคนผิด เพราะ ในรถนี่ก็มีผมกับพี่เจี๊ยบที่น้ำหนักเกินมาตรฐานชายไทยไปหน่อย ...
ขบวนเราวิ่งด้วยความเร็วไม่มากนัก ประมาณ ๘๐ ถึง ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเร็วแล้วครับ สำหรับสภาพถนนที่มีผู้คนวิ่งไปมาตลอด


สภาพสองข้างทางหลังออกจากเวียงจันทน์ ยังดุแห้งๆ เหมือนกับ ภูมิอากาศแถวๆ ภาคอิสานของเรา หากแต่ว่า บ้านคน ของแถวนี้ไม่เยอะมากนัก ปั๊มน้ำมัน ก็ไม่ได้เยอะมากเหมือนเมืองไทย
คณะเรามีการหยุดเป็นระยะๆ ครับ ไม่ได้เพื่อเติมน้ำมัน แต่ เป็นการเติมน้ำ ให้คนมากกว่า เพราะ ทีมงานเตรียมเครื่องดื่มเอาไว้ หลายขนาน แต่ไม่มี แอลกอฮอล์นะครับ พอจอดที ก็มีน้องๆ มาเดินบริการให้ทั่วถึง ...
เราเลยเริ่มรู้จักน้องๆ ทีมงานมากขึ้นครับ ที่จำได้ก็มีน้องฝน น้องปุ๋ย แล้วก็น้องฝ้าย ... น้องๆ ท่านอื่น อีกสองสามคน ...พอจำหน้าได้ครับ แต่ แฮะๆ จำชื่อไม่ได้อ่า....



เราวิ่งไปเรื่อยๆ ครับ โดย ทีมพี่อ้น จะคอยบอก จังหวะการแซงให้ โดยจะคอยบอกว่ามีรถอะไร วิ่งสวนมาบ้าง
"รถตู้ ฮุนได สีขาว ลงไปหนึ่งคันครับ ...หลังจากนั้นว่างครับ ... หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แซงขึ้นมาเลยครับ หน้าว่าง ครับ หน้าว่าง ..." เสียงพี่อ้น จะคอยส่งสัญญาณตลอดซึ่งพอฟังๆ ไปสักพักก็จะเริ่มจับจังหวะได้ครับ ทำให้การแซงรถเป็นไปอย่างปลอดภัย
ผมสังเกตว่า พี่ๆ ที่มากันแต่ละคนนี้ ขับรถเก่งๆ กันทั้งนั้นครับ เพราะ ดูจากความเร็ว จังหวะการแซง การเข้าโค้ง ล้วนแล้วแต่บ่งบอก ลายของแต่ละท่านเป็นอย่างดี
ถนนวิ่งสู่วังเวียง ร้อยกว่าโลครับ มีผ่านช่วงที่เป็นบ้าน เป็นชุมชน อยู่บ่อยครั้ง ช่วงที่เราวิ่งมาเป็นวันธรรมดา และ เป็นช่วงบ่ายที่โรงเรียนกำลังเลิก เด็กๆ นักเริียนกำลังกลับบ้าน เราเลยได้เห็นวิถีชีวิตวัยเด็ก ..ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวเป็นของแถม


ชุดนักเรียนที่ลาว น่ารักดีครับ ดูแปลกตา และ บ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่ดีขอที่นี่เป็นอย่างดีครับ ชุดผู้ชายก็คล้ายๆ ของเรา แต่ชุดผู้หญิงส่วนที่เป็นกระโปรง จะดูเป็นทรงยาวเรียบร้อย ... เด็กนักเรียนเห็นพวกเราก็จะโบกไม้โบกมือ ส่งยิ้มให้ ยิ้มใสๆ ดูน่ารักตลอดทาง
การลำดับหมายเลขทำให้ขบวนของเราเป็นระเบียบมากครับ ไม่น่าเชื่อว่าการเขียน สติกเกอร์แปะให้เห็นแค่นี้ทำให้สามารถจัดระบบได้ดีขนาดนี้ ... ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่ามาจากการจัดการที่ดี อีกส่วนหนึ่งก็ต้องมาจากวินัยของคนขับด้วยครับ ดังนั้น การแซง กันในขบวนจึงไม่เกิด ยังไงก็ต้องตามๆ กันไปครับ คันหน้าจะช้าจะเร็ว ก็ต้องไปพร้อมกัน ซึ่งสำหรับ ทริปนี้ จะใช้หลัก รอคันหลัง ถ้าคันหลังติดยังไม่มา ก็ต้องชะลอ...ให้รอกัน
คันหน้าผมเป็นสีน้ำเงินหมายเลขสี่ครับ .. ผมขับตามมาสักพัก จึงเริ่มรุ้สึกว่า...รถสวิฟส์หมายเลขสี่ คันนี้ มี อาถรรพ์ ....